ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีเกียรติประวัติมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาตั้งแต่ ค.ศ. 1892 มีผู้จัดการทีมมากหน้าหลายตาที่มารับหน้าที่คุมทัพ แต่วันนี้ lnwliverpool จะคัด 5 สุดยอดผู้จัดการทีมของสโมร มาฝากแฟนบอลหงส์แดงกันครับ
โจ เฟเกน (1983-1985)
โจ เฟเกน ย้ายเข้ามาทำงานกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 1958 โดยช่วงแรกเขารับตำแหน่งเป็นโค๊ชทีมสำรอง หลังจากคุมสำรองอยู่นอนเขาได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1971 ในฐานนะผู้ช่วยของ บิล แชงคลีย์ ต่อมาเขายังเป็นผู้ช่วยของ บ็อบ เพสลีย์ อีกด้วย ซึ่ง โจ เฟเกน เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มสร้าง “บูทรูม” ในตำนานขึ้นมา
จนกระทั่งในเดือน กรกฎาคม 1983 หลังจากที่ บ็อบ เพสลีย์ ก้าวลงจากตำแหน่ง ตำแหน่งผู้จัดการทีมจึงโดนส่งต่อมาให้กับ เฟเกน ที่รับใช้สโมสรมายาวนานมากกว่า 20 ปี ด้วยความเข้าใจวัฒนธรรมของสโมสร ทำให้เขาใช้จุดนี้สานต่อความสำเร็จจากยุคของสองกุนซือในตำนานจนสามารพา หงส์แดง ครองอังกฤษ และยุโรป
ฤดูกาลแรกของเขาในฐานะบอสจบลงกด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์แบบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หลังจากคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 และลีก คัพ เฟแกนสร้างหนึ่งในค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรในยุโรป ขณะที่พวกเขาลงสนามกับโรม่าในบ้านของพวกเขาเองด้วยการชูถ้วยยูโรเปียน คัพ ในปี 1984
จากนั้นเขามีโอกาสคุม ลิเวอร์พูล อีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนจะวางมือ แม้ เฟเกน จะมีโอกาสรับหน้าที่กุนซือชุดใหญ่เพียง 2 ฤดูกาล แต่ตลอดเวลาก่อนหน้านั้นเขามีส่วนสร้างยุคทองของ ลิเวอร์พูล และเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้างวัฒนธรรมสโมสรแห่งนี้ขึ้นมา
ความสำเร็จ : First Division (1983–84), League Cup (1983–84), European Cup (1983–84)
เคนนี่ ดัลกลิช (1985-1991, 2011-2012)
หนึ่งในบุคคลระดับตำนานตลอดกาลของสโมสร ลิเวอร์พูล เขาผลงานได้อย่างสุดยอดทั้งในฐานะ นักเตะ และผู้จัดการทีม โดย “คิงเคนนี่” ค้าแข้งอยู่กับหงส์แดง 13 ปี ช่วยให้ต้นสังกัดพิชิตทั้งอังกฤษ และยุโรป จากนั้นเมื่อปี 1985 หลังจาก โจ เฟเกน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม กัลกริช ถูกผลัดดันให้เข้ามารับหน้าที่คุมทัพแทย ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีม คนแรกของสโมสร
ในยุคการคุมทัพเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก ลิเวอร์พูล กลายเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ 3 ครั้ง และรองแชมป์อีก 2 ครั้ง
ส่วนการคุมทัพครอบที่สองในฤดูกาล 2011-12 อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ชายคนนี้กล้าที่จะเข้ารับเฝือกร้อนรับงานต่อจาก รอย ฮอดสัน ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังอุส่าห์พาทัพ หงส์แดง ที่ตกต่ำสุดๆคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ในฤดูกาลดังกล่าว
ความสำเร็จ : First Division (1985–86, 1987–88, 1989–90), FA Cup (1985–86, 1988–89), League Cup (2011–12), League Super Cup: 1985–86, FA Charity Shield (1986, 1988, 1989, 1990)
เจอร์เก้น คล็อปป์ (2015-ปัจจุบัน)
เทรนเนอร์ชาวเยอรมันย้ายเข้ามาสู่รั้วแอนฟิลด์ด้วยความหวังว่าจะเป็นผู้ที่นำลิเวอร์พูลขึ้นไปยืนแนวหน้าของวงการฟุตบอลอีกครั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายเข้ามาเมื่อปี 2015 หลังจากทิ้งผลงานพา โบนุสเซีย ดอร์มทมุนด์ โค่นล้มมหาอำนาจลูกหนังเมืองเบียร์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ลงได้ แม้ว่าผลงานฤดูกาลสุดท้ายกับเสือเหลืองจะไม่ค่อยดีนัก แต่สโมสรลิเวอร์พูลยังคงไว้ในตัวกุนซือรายนี้
ฤดูกาลแรกของเขาในพรีเมียร์ลีกผลงานของ ลิเวอร์พูล ยังไม่ค่อยดีนัก ทว่าเริ่มมีสัญญาณให้เห็นว่าทีมกำลังเดินไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เมื่อพลพรรคหงส์แดงเดินทางเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศทัวร์นาเมนต์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แต่น่าเสียดายที่ไปไม่ถึงฝันจบเป็นแค่รองแชมป์
ฤดูกาลต่อมา คล็อปป์ เข้ามาฝังปรัชญา “เกเก้น เพรสซิ่ง” ไว้ในดีเอนเอของบรรดาผู้เล่นลิเวอร์พูล และเริ่มดึงศักยภาพทรัพยากรที่มีอยู่ของเขาออกมา ผู้เล่นอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบ็กคู่หูที่ดีที่สุดของสโมสร ขณะที่สโมสร ลิเวอร์พูล ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ลีก ได้อีกครั้งนับตั้งแต่ปี 2007
แม้พวกเขาจะต้องพบกับความผิดหวังด้วยการแพ้ให้กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แต่คล็อปป์ยังคงไม่ยอมแพ้ ฤดูกาลต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ทำสำเร็จโค่น ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ตว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6 ของสโมสรมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
การคว้าแชมป์ยุโรปได้ เหมือนเป็นการปลดล็อคไปสู่ประตูบานต่อไป เทรนเนอร์ชาวเยอรมันพาหงส์แดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ในฤดูกาลต่อมา ลิเวอร์พูล ทะยานขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมแนวหน้าของยุโรป ตั้งแต่ปี 2015 ที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมจนถึงปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ภายในยุคของเขาพิชิตแชมป์มาได้แล้วทุกรายการ
ความสำเร็จ : Premier League (2019–20), FA Cup (2021–22), League Cup (2015-16), FA Community Shield (2022), UEFA Champions League (2018-19), UEFA Super Cup (2019), FIFA Club World Cup (2019)
บ็อบ เพลสลี่ย์ (1974-1983)
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ครองความยิ่งใหญ่ในช่วงยุค 70s-80s เริ่มแรก บ็อบ เข้ามาร่วมในฐานะสต๊าฟเบิ้องหลังในปี 1959 เขาค่อยๆเรียนรู้งานจนกระทั่ง บิลล์ แชงคลี กุนซือระดับปรมาจารย์วางมือลง ตำแหน่งผู้จัดการทีมจึงโดนส่งต่อมาให้ บ็อบ เพลสลี่ย์ สืบทอดต่อ จากความยิ่งใหญ่ที่ แชงคลี ทำเอาไว้สร้างแรกกดดันมาหศาลให้กับกุนซือคนต่อมา อย่างไรก็ตามด้วยความมั่นใจในตัวเอง บ็อบ เพลสลี่ย์ จึงรับมือได้ไม่ยาก
เขาอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมนาน 9 ปี พาสโมสรประสบความสำเร็จอย่างสูง คว้าถ้วยแชมป์ได้ทั้งหมด 20 โทรฟี่ นอกจากนี้ในยุคของเขายังสร้างผู้เล่นระดับตำนานในรั้งแอนฟิลด์มากมายทั้ง เคนนี่ ดัลกิซ, เอียน รัช, แกรม ซูเนสส์ รวมไปถึง รอนนี วีแลน
ความสำเร็จ : First Division (1975–76, 1976–77, 1978–79, 1979–80, 1981–82, 1982–83), League Cup (1980–81, 1981–82, 1982–83), FA Charity Shield (1974, 1976, 1977, 1979, 1980, 1982), European Cup (1976–77, 1977–78, 1980–81), UEFA Cup (1975–76), UEFA Super Cup (1977)
บิลล์ แชงคลี (1959-1974)
บิลล์ แชงคลี คือผู้จัดการที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรลิเวอร์พูลแบบไม่มีข้องกังขาใดๆ ยุคสมัยของเขาเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความยิ่งใหญ่ของสโมสรต่อไปในอนาคต โดย แชงคลี เริ่มเข้ามาคุมทัพในปี 1959 ซึ่งหงส์แดงกำลังตกต่ำสุดขีดหล่นลงไปอยู่ใน ดิวิชั่น 2 และโครงสร้างต่างๆของสโมสรก็เละเทะไปหมด
เขาเริ่มเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของสโมสรให้ดีขึ้น รวมไปถึงปล่อยผู้เล่นหลายๆคนออกจากทีม ในระหว่างที่ฟื้นฟูสโมสร เจ่ได้ก่อตั้งกลุ่ม “เดอะ บูท รูม” ขึ้นมาร่วมกับ บ็อบ เพลสลี่ย์, โจ เฟเกน และ รูเบน เบนเนต เพื่อนร่วมงานของเขา ลิเวอร์พูล เริ่มฟื้นคืนชีพอีกครั้ง พวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี 1962 หลังจากขึ้นมาอยู่บนลีกสูงสุดได้ไม่นานก็คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 1965 และตามมาด้วยแชมป์ลีกสูงสุดในปีต่อมา
จากนั้นยุคทองของ ลิเวอร์พูล แม้กระทั่งฤดูกาลสุดท้าย บิลล์ แชงคลี ยังพาทีมไปสู่ตำแหน่งแชมป์เอฟเอ คัพ สิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้มาจกาความสำเร็จในสนามเท่านั้น นอกสนามเขาเป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือจากความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแฟนๆ เหนือสิ่งอื่นใดปรัชญาของเขาทำให้ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอังกฤษ และยุโรป
ความสำเร็จ : First Division (1963-64, 1965-66, 1972-73), Second Division (1961-65), FA Cup (1964–65, 1973–74), FA Charity Shield (1964, 1965, 1966), UEFA Cup (1972–73)