ย้อนรำลึก 5 แมตช์ปาฏิหาริย์พลิกนรกของลิเวอร์พูล

ปาฏิหาริย์.. ไม่ว่าจะเกิดกับทีมไหนในแวดวงฟุตบอล มันก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้ทุกครั้งที่ได้เห็น ยิ่งถ้ามันเกิดขึ้นกับทีมที่เรารัก สารแห่งความสุขยิ่งพุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย ครั้งนี้เราจะขอนำเหล่าเดอะ ค็อป กลับไปนึกถึง 5 เกมในอดีตที่ ลิเวอร์พูล คัมแบ็คกลับมาได้ชนิดพลิกนรก..

ลิเวอร์พูล vs เวสต์แฮม นัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ (2006)

13 พฤษภาคม 2006 ณ สนามมิลเลเนียม สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลล์ ราฟาเอล เบนิเตซ พาทีมเขาสู่รอบชิงชนะเลิศรายการฟุตบอลถ้วยได้อีกครั้ง หลังจากฤดูกาลที่ผ่านมาเพิ่งพา หงส์แดง พิชิตยุโรปได้เป็นครั้งที่ 5 โดยคู่แข่งในครั้งนี้คือ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ภายใต้การคุมทีมของ อลัน พาร์ดิว

แน่นอนว่าด้วยชื่อชั้นก่อนเริ่มเกมส์ ลิเวอร์พูล ต้องเป็นต่อแบบไม่ต้องสงสัย แต่เริ่มเกมมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแรกของเกมกลับเป็นทัพขุนค้อน ที่ไล่ถลุงทำสกอร์ออกนำไปได้ก่อนถึง 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ และการซ้ำลูกยิงจ่อๆของ ดีน แอชตัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฌิบริล ซิสเซ่ ก็ช่วยยิงไล่ให้ลิเวอร์พูลมาเป็น 2-1 ในช่วงครึ่งเวลาหลัง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ยิงประตูตีเสมอให้กับทีมได้สำเร็จ 2-2 โมเมนตั้มในเวลานั้นสาวกหงส์แดง คงจะฝันไปถึงการฉลองแชมป์อีกครั้ง แต่ทีมที่ยิงประตูออกนำ 3-2 ไปได้อีกครั้งกลับกลายเป็น เวสต์แฮม จากฝีเท้าของสุดยอดแบ็คซ้ายแห่งยุคพอล คอนเชสกี้ เกมในตอนนั้นเหลืออีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ช่วงเวลาการคว้าแชมป์ของขุนค้อน ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนาทีที่ 90+1 สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็มายิงหนึ่งประตูที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอลจากการวิ่งมาหวดลูกบอลที่ไหลมาเข้าทางระยะกว่า 35 หลา แบบเต็มข้อ บอลพุ่งทะยานหายไปที่ก้นตาข่าย เป็นประตูพาทัพหงส์แดง ตีเสมอเป็น 3-3

ส่วนในช่วงต่อเวลาพิเศษไม่มีทีมไหนยิงประตูได้ต้องไปดวลจุดโทษหาผู้ชนะ แน่นอนว่าสุดท้าย โฮเซ่ เรน่า ผู้รักษาประตูสัญชาติสเปน โชว์ 3 เซฟ พา หงส์แดง ทะยานคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปได้สำเร็จชนิดใจหายใจคว่ำ

ลูกยิงประตูตีเสมอ 3-3 ของสตีเว่น เจอร์ราร์ด

2. ลิเวอร์พูล vs โอลิมเปียกอส รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย (2004/05)

ย้อนรายกลับไปรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ของปี 2004/05 ตอนนั้น ลิเวอร์พูล รั้งอยู่อันดับที่ 3 ของตาราง มีคะแนนเท่ากับโอลิมเปียกอสทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม ที่ 7 คะแนน แต่ทีมจากกรีซมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า+2 ส่วนทีมจากอังกฤษมีผลต่างที่ +1 ดังนั้นเงื่อนไข่ที่จะได้ผ่านไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้คือ ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขอื่น

เกมที่สนามแอนฟิลด์ในนัดนั้น ‘หงส์แดง’ ส่อเค้าตกรอบเพราะในช่วงครึ่งเวลาแรกโดนออกนำไปก่อน 1-0 จากการยิงฟรีคิกของ ริวัลโด้ นั่นหมายความว่างานครึ่งเวลาหลังของ ลิเวอร์พูล คือจะต้องยิง 3 ประตู และห้ามเสียเพิ่มแม้แต่ประตูเดียว ในต้นครึ่งหลัง ฟลอรองต์ ซินาม่า ปองโกล มายิงประตูตีเสมอให้กับทีม แต่นั่่นยังไม่ดีพอ เวลาของทัพหงส์แดง ในฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เริ่มถอยหลังหมดลงทุกที จนกระทั่งนาทีที่ 81 นีล เมลเลอร์ ก็มายิงประตูแซง 2-1 ปลุกโอกาสการผ่านเข้ารอบให้กับทีมอีกครั้ง และอีกเพียง 5 นาทีต่อมาประตูที่เหล่าเดอะ ค็อป รอคอยก็มาเกิดขึ้นจากฝีเท้าของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด คนดีคนเดิม ที่วิ่งมาซัดบอลบริเวณหัวกระโหลกหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งด้วยความแรงเย้ยนรกติดไซร้ก้อยไปเสียบมุมของตาข่าย พา หงส์แดง ทะยานออกนำ 3-1 และเป็นประตูพา หงส์แดง ได้เดินหน้าต่อไปยังปลายทางที่ อิสตันบูล

3. ลิเวอร์พูล vs โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รายการยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดสอง (2015/16)

เกมฟุตบอลรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย หงส์แดง ต้องเจอกับงานสุดหินเมื่อพวกเขาจับฉลากมาเจอกับ เสือเหลือง ทีมดังจากบุนเดสลีกา เยอรมัน เกมในเลกแรก ลิเวอร์พูล บุกไปเสมอได้ถึงสนาม ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค 1-1

การบุกไปได้ประตูอเวย์โกล มาเป็นเรื่องที่(เหมือนจะ)ดี แต่เกมนัดที่สองในถิ่นแอนฟิลด์ เริ่มมาได้แค่เพียงไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ ฝ่ายผู้มาเยือนก็ทำให้สนามที่ขึ้นชื่อว่าสุดโหดต้องเงียบเชียบ หลังจากโดน เฮนริค เอ็มคิตาร์ยาน และปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง จัดการกระทุ้งสองประตูแบบติดต่อนาทีที่ 5 และ 9 ของเกมการแข่งขัน และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-2

ทำให้ครึ่งหลังเงื่อนไขที่จะทำให้หงส์แดง ผ่านเข้ารอบได้ต้องยิงคืน 3 ประตู และห้ามเสียเพิ่มประตู(อีกแล้ว) เริ่มต้นครึ่งเวลาหลัง ดิว็อค โอริกี้ นักเตะเทพสถิตมายิงประตูตีไข่แตกปลุกวิญญาณให้เหล่าเดอะ ค็อป ในแอนฟิลด์ตื่นอีกครั้ง แต่เกมนี้หลังของ หงส์แดง รั่วซะยิ่งกว่าท่อประปาแตกมาโดน มาร์โค รอยส์ ยิงประตูหนีห่างไปเป็น 3-1 ทำให้เวลาอีก 30 นาที เดอะ เร้ด ต้องการ 3 ประตูเท่านั้นเพื่อจะพลิกกลับมาเข้ารอบ แต่มันก็เกิดขึ้นเมื่อ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ แข้งชาวบราซิเลี่ยนมากดสูตรยิงไกลเข้าไป ต่อด้วย มามาดู ซาโก้ ได้โขกระยะเผาขน จนสกอร์กลับมาสกอร์กันที่ 3-3 ผลเสมอยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล รอดพ้นจากการตกรอบ เกมการแข่งขันเดินทางมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บกองหลังที่ดีที่สุดในโลก(ส่วนตัว) เดยัน ลอฟเลน ก็มาสวมบทฮีโร่โขกบอลเบียดเสาเข้าไป พาทีมพลิกกลับมานำ 4-3 ทำให้สกอร์รวม 2 นัดจบลงที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายชนะ 5-4 แต่อย่างไรก็ตามสุดท้าย พวกเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะรอบชิงชนะเลิศไปแพ้ให้กับ เซบีย่า 3-1 จบรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีก ฤดูกาลนั้นในฐานะพระรองเท่านั้น

4. ลิเวอร์พูล vs บาร์เซโลน่า ฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง (2018/19)

เกมแรกที่เหล่าพลพรรคหงส์แดง เดินทางไปเตะกับยอดทีมจากประเทศสเปน พวกเขาสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผลที่การแข่งขันแทบจะมองไม่เห็นหนทางที่จะผ่านเข้าไปรอบชิงดำได้เลย 3-0 ดูจะเป็นสกอร์ที่แพ้มากเกินที่จะรับได้ แต่ฟุตบอลมันก็เป็นแบบนี้ยิ่งเป็นค่ำคืนที่ยอดนักเตะแห่งยุคอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ฟอร์มเข้าฝักด้วยแล้ว ก็คงต้องยอมรับ

4-0 คือสกอร์ที่ลิเวอร์พูลต้องการหากอยากทะลุเข้าไปรอบชิงชนะเลิศ “เป็นไปไม่ได้” คือความคิดของแฟนบอลทั่วโลก แม้แต่เดอะ ค็อป บางคนก็ยังทำใจยอมรับไปแล้ว การยิงประตูมากมายขนาดนั้นใส่ บาร์ซ่า เป็นไปได้ยากมาก ยิ่งหากเปิดเกมบุกเข้าใส่ ทัพอาซูกราน่า ที่มี หลุยส์ ซัวเรซ และ ลิโอเนล เมสซี่ อยู่แดนหน้า การเสียประตูคือสิ่งที่ต้องกังวล แต่ แอนฟิลด์ เป็นสถานที่เกิดปาฏิหาริย์อยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เริ่มเกมมาได้เพียงแค่ 7 นาที ดิว็อค โอริกี้ ก็มาเบิกสกอร์แรกได้อย่างรวดเร็ว ประตูนี้ช่วยให้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เปิดออกทันที ครึ่งแรกจบลงด้วยสกอร์ 1-0 พร้อมข่าวร้ายที่เรื่องอาการบาดเจ็บของแอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำให้ คล็อปป์ จึงต้องตัดสินใจส่ง จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ลงสนามมาเล่นแทน และก็เป็น ไวนัลดุม ที่มาซัดเบิ้ล 2 ประตูในเวลาห่างกัน 2 นาที นาที 54 และ 56 แน่นอนว่าเวลานั้น บรรยากาศในสนามแอนฟิลด์ ดังกระหึ่มไปด้วยเสียงของเหล่าเดอะ ค็อป ฟอร์มของนักเตะผู้มาเยือนจากสเปนแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ากดดันจนเล่นไม่ออก เวลาผ่านไปถึงนาทีที่ 79 ประตู หงส์แดง รอคอยก็มาเกิดขึ้น จากจังหวะเล่นเตะมุมเร็วของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่ไม่มีใครในสยามคาดถึง นอกเสียจากมหาเทพแห่งวงการฟุตบอล ดิว็อค โอริกี้ ที่มองเห็นจัดการตวัดยิงโล่งๆบอลวิ่งเข้าไปซุกก้นตาข่าย พร้อมเสียงความคลั่งของแฟนบอลในสนาม สุดท้ายผลการแข่งจบด้วยชัยชนะของ ลิเวอร์พูล เหนือ บาร์เซโลน่า 4-0 และแน่นอนว่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปีนั้นจบลงด้วย การที่ ลิเวอร์พูล พิชิตยุโรปได้เป็นครั้งที่ 6 ของสโมสร

5. ลิเวอร์พูล vs เอซี มิลาน ฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชนะเลิศ (2004/05)

การที่ต้องมาเจอกับ เอซี มิลาน ที่ยุคในกำลังรุ่งเรืองมีระดับระดับโลกแทบครบทุกตำแหน่ง 11 ตัวจริง กาก้า, เซดอร์ฟ, เชฟเชนโก้, เครสโป, กัตตูโซ่, ปีร์โล่, เนสต้า, มัลดินี่, ยาป สตัม, คาฟู และกุนซือคาโล อันเช่ล็อตติ คือรายชื่อที่ ลิเวอร์พูลต้องเผชิญ ส่วนฝั่งหงส์แดงนำทัพมาโดยสตีเว่น เจอร์ราด, ชาบี อลอนโซ่, หลุยส์ การ์เซีย, แฮร์รี่ คีลล์, มิลาน บารอส, ซามี่ ฮูเปีย, เจมี่ คาร์ราเกอร์ คุมทัพมาโดย ราฟาเอล เบนิเตช

มองไกลมาตั้งแต่ 2 กิโลเมตร ใครๆก็เห็นว่า เจ้าปีศาจแดง-ดำ เหนือกว่าอย่างชัดเจน และเริ่มเกมมาเพียงไม่นานทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด เกมการแข่งขันผ่านมาได้เพียงแค่นาทีเดียว เปาโล มัลดินี่ ก็จัดการสอยประตูขึ้นนำให้กับ มิลาน ไม่เพียงเท่านั้นก่อนหมดครึ่งเวลาแรกยอดทีมจากประเทศอิตาลี ก็มาทำสกอร์หนีห่างออกไป 3-0 จากฝีเท้าของ เครสโป ที่ยิงคนเดียวทั้งสองประตู ภาพจับไปที่แฟนบอลลิเวอร์พูด บางคนคอตก, บางคนเริ่มสวดภาวนาถึงพระเจ้าขอให้ช่วยทีมรักของพวกเขา

ครึ่งหลังเริ่มมาได้เพียงไม่นาน ชายชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็มาโหม่งทำประตูตีไข่แตก ปลุกหงส์แดงขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง เสียงเดอะ ค็อป เริ่มดังขึ้นมาในสนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม อีกระลอก จากนั้นเพียง 2 นาทีให้หลัง ซมิเซอร์ ก็ยิงไกลระยะ 25 หลา ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูไล่มา 3-2 และสิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้นนาทีที่ 60 ลิเวอร์พูล มาได้ลูกจุดโทษ ซาบี อลอนโซ่ เดินเอาบอลไปวางเพื่อรับหน้าที่สังหาร เขากดเป็นไปที่มุมซ้ายต่ำของประตู แต่ติดเซฟของ ดีด้า แต่เทพีแห่งโชคได้เรียกฝั่งหงส์แดงในค่ำคืนนี้ บอลเด้งกลับมาเข้าทาง อลอนโซ่ จึงจัดการเก็บงานเข้าไปไม่เหลือ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะยิง 3 ประตู โดยการใช้เวลาแค่ 6 นาทีเท่านั้น จากนั้นเหล่านักเตะปีศาจแดง-ดำ ก็โหมกระหน่ำบุกอย่างบ้าคลั่ง ทำทุกวิถีทางเพื่อจะเอาประตูขึ้นนำอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ลูกบอลก็ไม่ยอมเข้าไปกระทบตาข่าย จึงต้องดวลจุดโทษตัดสิน สุดท้าย เจอร์ซี่ ดูเด็ค ผู้รักษาประตูที่โชว์ฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตออกมา นอกจากจะช่วยเซฟทีมในเกมแล้ว ดูเด็ค ยิงเซฟลูกจุดโทษของ อันเดร ปีร์โล่ และ อังเดร เชฟเชนโก้ 2 ยอดนักเตะแห่งยุคเอาไว้ได้ ส่ง ลิเวอร์พูล พลิกนรกกลับมาเอาชนะเอซี มิาน คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสรอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมตำนานเล่าขานที่เรียกว่า “ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล”

Leave a Comment

Your email address will not be published.