ลิเวอร์พูล เปลี่ยนระบบการเล่น

สิ่งที่ได้เห็นหลัง ลิเวอร์พูล เปลี่ยนระบบการเล่น

ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยผลงานระดับหายนะที่คาดไม่ถึง ทีมที่เคยแข็งแกร่งแพ้ยากมีปัญหาอย่างหนักกว่าจะตามหาชัยชนะแต่ละนัดเจอ จนนายใหญ่ของทีมต้องยอมเปลี่ยนระบบการเล่นที่ไม่คุ้นเคย เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างหลังทัพหงส์แดงปรับหมากลงสนาม ลองไปดูกันครับ

ผลงานของทัพ หงส์แดง ในฤดูกาล 2022/23 ย่ำแย่อย่างหนัก หลังผ่านการลงสนามทุกรายการไปทั้งหมด 9 เกม มีสถิติ ชนะ 3 เสมอ 4 แพ้ 2 แน่นอนว่าเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด หน้าที่ของกุนซืออย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงต้องหาให้เจอ และปรับแก้ให้ได้ไวที่สุด

ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ดูเป็นทีมที่เกมรุกไร้ความดุดัน แดนกลางไร่พลัง แดนหลังอ่อนยวบ แทบจะทุกเกมที่เสียประตูกันอย่างง่ายดาย ส่วนหนึ่งอาจจะอ้างได้ว่ามาจากปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน แต่บางเกมที่ควรจะชนะได้ง่ายๆกลับต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อคว้า 3 คะแนน ก่อนหน้านี้ 4 เดือน หงส์แดง ชุดเดียวกันนี้เพิ่งจะเดินหน้าไล่ล่าแชมป์ 4 รายการ แต่ ณ เวลานี้กลับไม่สามารถเอาชนะได้แม้ทีมน้องใหม่ของพรีเมียร์ลีก

หลังเวลาผ่านมา 2 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ กุนซือชาวเยอรมันยอมที่จะลองเสี่ยงอะไรใหม่ๆเสียที เชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ติดตามทีมในยุคนี้ต่างรู้ดีว่าแทบจะ 95% ระบบการเล่นของทีมแต่ละเกมคือ 4-3-3 แต่เมื่อคืนในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ดวลกับ เรนเจอร์ส เกิดภาพแปลกตาพลพรรคหงส์แดงลงสนามด้วยระบบ 4-2-3-1 ยิ่งไปกว่านั้นผลงานยังออกมาดีเกินคาดคว้าชัยมาได้แบบไม่ยาก 2-0 มีหลายเหตุผลที่ไอเดียใหม่ได้ผลดีเกินคาด

เกมรับแน่นขึ้น

เรื่องเสียประตูง่ายเป็นข้อแรกเลยที่นายใหญ่ชาวเยอรมัน ออกมาให้สัมภาษณ์หลังทีมผลงานไม่ดีในช่วงที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงระบบครั้งนี้ส่งผลให้เมื่อต้องเล่นเกมรับมีผู้เล่นมาช่วยกันรุมเอาบอลคืนได้มากขึ้น ปีกที่เคยต้องไปยืนสูง และชิดริมเส้นขยับเข้ามาอยู่ในแดนกลางมากขึ้น สามารถช่วยลดความผิดพลาดจากการเสียบอลขณะลำเลียงบอลขึ้นเกมรุกได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังลดการใช้ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางออกไป 1 ขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฤดูกาลนี้ ฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับชาวบราซิลฟอร์มตกอย่างมาก ไม่สามารถตัดเดมคู่แข่งได้เลย การใช้สองผู้เล่นที่มีความขยันทั้ง ธิเอโก้ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ร่วมกับผู้เล่นตำแหน่งปีก ช่วยให้ปิดช่วงว่างตรงกลางสนามได้มากกว่า จึงเป็นเหตุผลให้เกมรับที่เคยมั่วทรงโดนส่องประตูบ่อยครั้ง เริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอยไม่ค่อยเจอความอันตรายจากแนวรุกคู่แข่ง พร้อมเก็บคลีนชีทที่หายากเหลือเกินในฤดูกาลนี้มาครองได้เป็นเกมที่สาม

แดนกลางมีชีวิตชีวา

แผน 4-3-3 ที่ใช้มาตลอดต้องอาศัยพละกำลังของผู้เล่นกองสนามเป็นอย่างมาก เพื่อทำหน้าที่ไล่บดเอาบอลไปให้ 3 ตัวรุกในแดนหน้า และที่สำคัญที่สุดคือกองกลางตัวรับ ซึ่งกงอกลางชาวบราซิลฟอร์มตกสุดๆ โดยตำแหน่งนี้ลิเวอร์พูลไม่มีผู้เล่นสำรองที่ไว้ใจได้เลย ดังนั้นเมื่อฝืนส่งผู้เล่นที่ฟอร์มตกสนามจึงส่งผลอย่างหนัก แดนกลางไม่สามารถชะลอเกมบุกของคู่แข่งได้ ด้านเกมรุกก็เสียบอลบ่อยคร้้ง ไม่สามารถพาบอลไปถึงผู้เล่นแนวรุกได้

การปรับมายืนแบบ 4-2-3-1 ช่วยให้มีผู้เล่นที่ช่วยกันเล่นได้มากขึ้น แม้ ธิเอโก้ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะไม่ใช้ตัวรับธรรมชาติ นอกจากกนี้การมี 2 ผู้เล่นที่ออกบอลดี ช่วยให้เป็นกลางคู่ที่คอยสลับเป็นตัวเลือกในการจ่ายบอลจากแนวลึกขึ้นไปด้านหน้า

ในเกมนี้จะเห็นเฮนเดอร์สันเติมน้อยลง และใช้บอลยาวเดินทางมากขึ้นซึ่งหลายครั้งเป็นการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกที่ยอดเยี่ยม ส่วนติอาโก้ เราจะเห็นเขาซ้อนพื้นที่หลังแบ็คซ้าย ที่ในเกมนี้คือคอสตาส ซิมิคาส มากขึ้น เพื่อให้เกมตรงกลางมีความรัดกุมเป็นพิเศษ โดยการแก้ไขนี้ดูจะได้ผลเมื่อลิเวอร์พูลครองเกมได้แทบทั้งหมด

ใช้งานแนวรุกตรงจุด

การได้ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าอย่าง ดาร์วิน นูเญซ เข้ามาเสริมทัพทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องปรับวิธีการเล่นกันใหม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าระบบ 4-3-3 ยังไม่เวิร์กสำหรับดาวยิงตัวใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ หงส์แดง ไม่มีผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่คอยออกบอลแทงทะลุช่องคมๆ การปรับระบบที่ถอย โรแบร์โต เฟอร์มิโน มารับบทบาทกองกลางัวรุก หรือบางครั้งสามารถขยับไปเป็นกองหน้าคู่ได้ระหว่างเกม ช่วยให้ นูเญซ เริ่มแสดงความอันตรายออกมาได้มากขึ้น

แน่นอนว่าปีกทั้งสองฝั่งอาจจะต้องปรับตัวซักเล็กน้อย แต่เชื่อว่าหากแผนใหม่ที่ คล็อปป์ ออกแบบมาเข้าที่เข้าทาง หงส์แดง อาจจะกลับมาบินสูงได้อีกครั้ง ผลลัพท์ที่แสดงออกมาในการลองระบบเกมแรกส่งผลไปในทางบวก แม้จะต้องเปลี่ยนระบบที่เคยเล่นมาหลายปี แต่การลองเสี่ยงครั้งนี้ก็ดีกว่าทำอะไรแบบเดิมๆแน่นอน

Leave a Comment

Your email address will not be published.