ย้อนกลับไปเมื่อกลางยุค 90s ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอยู่ในยุคที่เฟื่องฟูได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางวัตนธรรม จากภาพที่ฟุตบอลอังกฤษเน้นไปที่พละกำลัง ใช้ร่างกายในการปะทะเป็นอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าการก้าวขึ้นมาของเด็กหนุ่มจากเมืองลิเวอร์พูลกลุ่มหนึ่ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สตีฟ แม็คมานามาน, เจสัน แม็คเอเทียร์, ฟิล บ๊าบบ์, เดวิด เจมส์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ที่มีภาพลักษณ์สุดเนี้ยบ และสำอางแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้กลุ่มผู้เล่นเหล่านี้ยังทำให้ฟุตบอลที่เป็นเพียงกีฬา กลายมาเป็นศูนย์รวมเรื่องบันเทิงของสื่อในยุคนั้นได้อีกด้วย
ที่มาของฉายา “สไปซ์ บอยส์”
ช่วงเวลาเดียวกันที่กลุ่มผู้เล่นดาวรุ่งของสโมสร ลิเวอร์พูล มีชื่อเสียงขึ้นมา ตัดไปที่วงการเพลงคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปที่ชื่อว่า “สไปซ์ เกิร์ลส์” พวกเธอประสบความสำเร็จโด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกของตัวเองอย่าง Wannabe
จุดเริ่มต้นของเรื่องมาจากหลังสือพิมพ์ชื่อดังของเกาะอังกฤษ Daily Mail ออกมารายงานข่าวว่า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กองหน้าซ้ายฟ้าประทานของทีม หงส์แดง กำลังคบหาดูใจกับ เอ็มม่า บันตัน (เบบี้ สไปซ์) หนึ่งในสมาชิกวง เกิร์ลกรุ๊ป นอกจากนี้ยังมี สตีฟ แม็คมานามาน และ เจสัน แม็คเอเทียร์ ก็มีข่าวเชื่อมโยงกับ เมล ซี (สปอร์ตี้ สไปซ์) เช่นกัน
ด้านการใช้ชีวิตนอกสนามกลุ่มผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล ก็ไม่ต่างจาก “สไปซ์ เกิร์ลส์” เนื่องจากภาพลักษณ์ที่ขายได้ทำให้สิ่อพยายามตามไปทำข่าวเรื่องราวนอกสนาม และเจ้าของสินค้าก็ต้องการตัวพวกเขามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ผู้คนยุคนั้นจึงมักจะได้เห็นพวกเขาอยู่ตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ หรือหน้าปกนิตยสาร อยู่เสมอ ทั้งจากการใช้ชีวิต และข่าวที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ฉายา “สไปซ์ บอยส์” ถูกตั้งขึ้นมา
ภาพลักษณ์ของกลุ่ม “สไปซ์ บอยส์” ที่ทำให้จำได้ติดตาโลกลูกหนังคงหนีไม่พ้น นัดชิงชนะเลิศฟุตบอล เอฟเอ คัพ ปี 1996 ที่ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับคู่อริตลอดการ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตามธรรมเนียมผู้เล่นของทั้งสองทีมจะต้องใส่สูทลงไปในสนามก่อยที่จะกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดแข่งขัน โดยกลุ่มผู้เล่นของทีม “ปีศาจแดง” ออกมาในชุดสูทสีดำ รองเท้าคัทชูแบบเรียบๆ แต่ทางด้านผู้เล่นของ หงส์แดง กลับมาในแฟชั่นสุดเท่ห์ ด้วยการสวมชุดสูทสีขาวจาก อาร์มานี่ เท่านั้นยังไม่พอมีผู้เล่นบางคนใส่แว่นกันแดด ลงมาในสนามอีกด้วย
อย่างไรก็ตามผลการแข่งขันที่ออกมาเป็นฝ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะไปได้แบบหวุดหวิด 1-0 แน่นอนว่าการแต่งตัวสุดเท่ห์ก่อนลงสนามในคราวนั้นทำให้เกิดคำถามจากแฟนบอลมากขึ้นว่ากลุ่ม “สไปซ์ บอยส์” เอาแต่นใจภาพลักษณ์ของตัวเอง และทุ่มเทเรื่องฟุตบอลมากพอหรือไม่
ไม่ประสบความสำเร็จ และจุดจบของ “สไปซ์ บอยส์”
ในช่วงหลัง “สไปซ์ บอยส์” กลายเป็นชื่อที่ไม่น่าจดจำนัก เมื่อมันสื่อไปถึงพวกท่าดีทีเหลว ในช่วงยุคสมัยนั้น ลิเวอร์พูล คว้ามาได้เพียงแชมป์เดียวเท่านั้นคือ ลีก คัพ ในปี 1994/95 ซึ่งเป็นถ้วยที่แฟนๆเรียกว่า มิกกี้เมาส์ คัพ โดยจากศักยภาพ และชื่อเสียงที่ปรากฎอยู่บนสื่อต่างๆ พวกเขาควรประสบความสำเร็จมากกว่านั้น และเมื่อไปเทียบกับกลุ่มผู้เล่นยุคเดียวกัน คลาส ออฟ 92 (Class of ’92) ของอริตลอดกาล แมนเชสเตอร์ ยูไรเต็ด ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้หลายสมัย รวมไปถึงแชมป์ระดับทวีป ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การเข้ามาของ เชราร์ อุลลิเยร์ คือจุดจบชองตำนาน “สไปซ์ บอยส์” กุนซือชาวฝรั่งเศสคิดว่าทีม ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นเล่นกันหน่อมแน่มเกินไป จึงค่อยๆปล่อยตัวผู้เล่นอย่าง เจสัน แม็คเอเทียร์, เดวิด เจมส์ แสะ สตีฟ แม็คมานามาน ออกจากทีมไปก่อน ตามด้วย เจมี่ เร้ดแน็ปป์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่ง อุลลิเยร์ ก็แสดงว่าความคิดของเขานั้นถูกต้อง เมื่อ ลิเวอร์พูล ในยุคของเขากวาดมาได้ถึง 5 ถ้วยแชมป์