อาถรรพ์ 7 ปี เจอร์เก้น คล็อปป์

อาถรรพ์ 7 ปี ของ เจอร์เก้น คล็อปป์

เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังโดนความกดดันถาโถมเข้าใส่ หลังพา ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้อย่างน่าผิดหวังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมีหลายเหตุผลที่อธิบายออกมาได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และมีอีกทฤษฎีที่อธิบายไว้ว่านี่คือปีอาถรรพ์ของกุนซือชาวเยอรมัน เพราะก่อนหน้านี้เมื่อครบ 7 ปี คล็อปป์ ต้องออกจากตำแหน่งกุนซือทั้ง 2 ครั้ง 2 ครา

ไมนซ์ 05

หลังจากแขวนสตั๊ดในปี 2001 คล็อปก็ได้รับมอบหมายงานในฐานะกุนซือทันที โดยงานแรกของกุนซือชาวเยอรมัน คือต้องพาสโมสรที่เขาเคยค้าแข้งในฐานนะนักเตะกว่า 10 ปี อย่าง ไมนซ์ 05 เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศเยอรมันให้จงได้ ฤดูกาลแรกเขาพาทีมจบเป็นอันดับ 4 ของตารางคะแนน พลาดตั๋วเลื่อนชั้นอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตามด้วยแนวทางการเล่นของทีมที่ดูดีมีอนาคตทำให้ยังได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไป

ฤดูกาล 2002-03 คล็อปป์ ต้องพบเจอกับความผิดหวังอีกครั้ง ไมนซ์ ทำได้เพีบงจบเป็นอันดับที่ 4 ของตารางคะแนน ถือเป็นการอกหักแบบเดิม 2 ครั้งในรอบ 2 ฤดูกาล แต่ในฤดูกาลต่อมาความพยายามของกุนซือรายนี้มาประสบผลสำเร็จ เขาพาต้นสังกัดพุ่งเข้าเส้นชัยจบเป็นอันดับที่ 3 ของลีก ส่งผลให้ ไมนซ์ ขึ้นมาโลดแล่นบนเวทีบุนเดสลีกาไดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ฤดูกาล 2004-05 ทีมเล็กๆอย่าง ไมนซ์ ที่ไม่เคยขึ้นมาสูดอากาศบนลีกสูงสุด โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหนีตกชั้นเหืมือนทีมอื่นๆ คล็อปป์ พาลูกทีมของเขาจบเป็นอันดับที่ 11 ของตารางคะแนน เท่านั้นยังไม่พาปีต่อมาพวกเขายังแสดงฝีมือให้เห็นว่าผลงานที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดด้วยการจบเป็นอันดับที่ 11 ของตารางคะแนนอีกครั้ง

แต่แล้วในฤดูกาล 2006-07 ไมนซ์ ก็ไม่สามารถเอาตัวรอดได้อีกต่อไป พวกเขาโดนส่งลงไปสู่ลีกรองบุนเดสลีกา 2 อีกครั้งในปีที่ 6 ในฐานะกุนซือของ คล็อปป์

แม้นำทีมตกชั้นแต่บอร์ดบริหารของ ไมนซ์ ยังคงวางใจให้คล็อปป์รับหน้าที่กุนบังเหียนต่อไป โดยภารกิจของเขาไม่ใช่เรื่องใหม่ ต้องพาลูกทีมกลับขึ้นไปสู่ลีกบนสุดให้ได้อีกครั้ง ทว่าเขาทำไม่สำเร็จ แม้จะเข้าใกล้ตั๋วเลื่อชั้นมากขาดเพียง 2 คะแนนเท่านั้น แต่การจบเป็นอันดับที่ 4 ของลีก ความผิดหวังส่งผลให้เขาตัดสินใจไม่ไปต่อกับทีม ปิดฉากฐานะกุนซือทีมไมนซ์ด้วยระยะเวลา 7 ปี 4 เดือน

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

จากผลงานที่ทิ้งไว้กับสโมสรไมนซ์ “เจเค” จึงได้รับโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิต จากทีมในระดับลีกรอง มาคุมทีมระดับชั้นนำของลีกเยอรมัน “เสือเหลืองโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตอนแรกเขาด้าวเข้ามาคุมทัพในฐานะกุนซือโนเนม แต่ในถิ่น “ซิกนัล อิดูนา พาร์ค” กลับสร้างให้ชื่อเขาได้รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่ดีที่สุดแห่งยุค

คล็อปป์ สร้างให้ เสือเหลือง มีแนวทางการเล่นสุดเฮฟวี่ภายใต้ชื่อเรียก “เกเก้นเพรสซิ่ง” มาสู่ทีม และโลกฟุตบอล ดอร์ทมุนด์ ที่ก่อนหน้านั้นกำลังหลับใหลตื่นขึ้นมาท้าทายอำนาจ “เสือใต้บาเยิร์น มิวนิค ทีมอันดับหนึ่งของประเทศผู้ไร้เทียมทานได้อย่างสูสีอีกครั้ง

ดอร์ทมุนด์ เหลืองโค่นอำนาจขาใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2010-11 เท่านั้นยังไม่พอฤดูกาลต่อมาพลพรรคเสือเหลืองยังสามารถป้องกันแชมป์ได้อีกด้วย ภายใต้การนำทัพของ คล็อปป์ ถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดอร์ทมุนด์ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรกวาแชมป์ทุกรายการในประเทษมาได้ และผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก

กาลเวลาเดินทางมาถึงฤดูกาล 2014-15 หรือปีที่ 7 ของคล็อปป์ในการนำทัพเสือเหลือง เขาเริ่มต้นได้อย่างสวยหรูด้วยการพาลูกทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นหายนะ ดอร์ทมุนด์ เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ด้วยความพ่ายแพ้ถึง 6 จาก 10 เกมแรกของฤดูกาล ทีมที่เป็นถึงรองแชมป์เมื่อปีที่ผ่านมา ร่วงหล่นมาอยู่ในโซนท้ายตาราง

ผลงานของทีมยังไม่ดีขึ้นยังคงลุ่มๆดอนๆ หาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอ จนกระทั่งในช่วงเดือน เมษายน 2015 “เจเค” ออกมาประกาศว่าหลังจากสิ้นสุดฤดูกาลเขาจะออกจากตำแหน่งผู้จัดกาทีมทันที เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานสุดห่วยของทีมตน สุดท้าย ดอร์ทมุนด์ ผลงานค่อยๆดีขึ้นก่อนจะจบฤดูกาลด้วยการรั้งอันดับ 7 ของตาราง และเหมือนเดิมหลังจบฤดูกาลที่ 7 เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้ไปต่อกับทีม

ลิเวอร์พูล

หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่งพักสมองจากงาน เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2015 คล็อปป์ กลับมารับงานคุมทีมอีกครั้ง คราวนี้เขาออกจากเยอรมัน มุ่งตรงสู่เวทีสุดโหด พรีเมียร์ลีก พร้อมภารกิจสุดหินนำความเกรียงไกรกลับมาสู่สโมสรยักษ์หลับ ลิเวอร์พูล กลับมาให้ได้

ฤดูกาลแรกที่เข้ามารับหน้าที่คุมทัพกลางคัน หงส์แดง ยังคงหลงทางจบป็นอันดับที่ 8 ทว่าปรัญชา “เกเก้นเพรสซิ่ง” ค่อยๆซึมเข้าสู่ดีเอ็นเอของผู้เล่นทีละน้อย ผสมกับแนวทางการซื้อตัวที่ถูกต้องทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, อลิสซอน เบ็คเกอร์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ โดนดึงมาเติมเต็มส่วนที่ขาด

หงส์แดง ในยุคของ คล็อปป์ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรป พวกเขาเดินหน้ากวาดทุกถ้วยเมเจอร์ที่ลงเล่น เข้าชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 3 ครั้ง และแน่นอนว่า ลิเวอร์พูล สามารถปลดล็อคคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ชาว เดอะ ค็อป รอคอยมาอย่างยาวนาน 30 ปีได้สำเร็จ

เวลาเดินทางมาถึงฤดูกาลปัจจุบัน(2022-23) ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่ 7 ในการคุมทีมเต็มตัว พลพรรคหงส์แดง ที่เพ่งจะลุ้นชิงแชมป์ 4 รายการเมื่อปีที่ผ่านมา ออกสตาร์ทได้แบบไม่น่าโสภา 12 เกมแรกในศึกพรีเมียร์ลีกคว้าชัยชนะได้เพียง 4 เกม รูปเกมที่เคยไล่ขย่มคู่แข่งมีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด

หลายอย่างเริ่มไม่เหมือนเดิม แม้จะมีเหตุผลที่พอฟังได้ว่านักเตะในทีมโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน และทีมกำลังเข้าสู่ช่วงถ่ายเลือดใหม่ แต่ฟอร์มสุดห่วยดันมาถูกที่ถูกเวลาในปีที่ 7 จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามชวนคิด หรือนี่คืออาถรรพ์ 7 ปี ของ เจอร์เก้น คล็อปป์

Leave a Comment

Your email address will not be published.