เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้ปลดแอก ลิเวอร์พูล ในรอบ 30 ปี

วันนี้ทางทีมงาน เทพลิเวอร์พูล จะขอพาแพื่อนไปทำความรู้จักกับ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมที่ช่วยให้ “หงส์แดงลิเวอร์พูล กลับมายิ่งใหญ่เกรียงไกรคับโลกฟุตบอล ดั่งเช่นอดีต กุนซือที่ทำให้รอคอยันยาวนานถึง 3 ทศวรรษ สิ้นสุดลง

ประวัติส่วนตัว

ชื่อเต็มของเขาคือ เจอร์เก้น นอร์เบิร์ต คล็อปป์ เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1967 ที่เมือง สตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมันฝั่งตะวันตก โดยสมัยที่เป็นนักฟุตบอลไม่ค่อยประสบควสำเร็จเท่าไหร่นัก เคยลงเล่นให้กับสโมสร ไมนซ์ 05 เพียงแค่สโมสรเดียวเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1990 – 2001 ทำผลงาน 52 ประตู จากการลงเล่น 338 เกม ก่อนจะแขวนสตั๊ดในวัย 34 ปี

เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมก่อนมาคุม ลิเวอร์พูล

หลังจากปิดฉากการเป็นนักเตะ คล็อปป์ ก็มุ่งหน้าเป็นกุนซือทันที โดยทีมแรกที่เขารับหน้าที่ก็คือ ไมนซ์ 05 สโมสรที่ค้าแข้งมาตลอดชีวิต ก่อนจะใช้เวลาเพียง 3 ปี พา ไมนซ์ 05 ที่เวลานั้นติดอยู่ลีกล่างอย่าง ลีกา 2 มาเป็นเวลานาน จบเป็นอันดับ 3 ของลีก ขึ้นมาเล่นบนเวทีบุนเดสลีกา ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี อย่างยิ่งใหญ่

ไมนซ์ 05 ภายใต้กรคุมทัพของ คล็อป ได้โลดแล่นอยู่บนลีคสูงสุดของประเทศ 3 ปี ก่อนที่จะต้องตกชั้นลงไปสู่ลีกา 2 อีกครั้ง อย่างไรก็ตามลีลาการคุมทีมของกุนซือ เฮฟวี่เมทัล ไปเข้าตาสโมสร “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่างจัง เขาจึงได้รับโอกาสคร้งใหญ่ในอาชีพ ก้าวขึ้นมาคุมทีมยักษ์ใหญ่ของลีคเยอรมัน ทั้งๆที่เขาเป็นเพียงกุนซือหนุ่ม ที่ยังไม่เคยพาทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้เลย

แน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสรั้งใหญ่อยู่ตรงหน้า คล็อปป์ ก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไป เซ็นสัญญาฉบับแรกเป็นระยะเวลา 2 ปี ในเดือน พฤษภาคม 2008 สำหรับสภนการณ์ของทีม เสือเหลือง ณ เวลานั้น เป็นช่วงตกต่ำ ทำให้กุนซือคนใหม่ที่เข้ามาต้องปรับใหม่หมดทั้งแผนการเล่น และดึงตัวผู้เล่นที่ยังอายุไม่เยอะเข้ามาช่วย ซึ่งปีแรกของ คล็อปป์ กับ ดอร์ทมุนด์ ก็ประสบความสำเร็จทันที ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค บอสใหญ่ของลีก คว้าแชมป์ เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ ไปครอง และจบเป็นอันดับที่ 6 ของตารางคะแนน

เวลาผ่านไป ดอร์ทมุนด์ เริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงฤดูกาล 2010/2011 ทีมที่สร้างโดย คล็อปป์ ก็เบ่งบานเต็มที่ จนสามารถสร้างประวัติศาสตร์ล้มพี่ใหญ่ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอมัน มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

เท่านั้นยังไม่พอ มาถึงฤดูกาล 2011/2012 ความร้อนแรงของพลพพรรค “เสือเหลือง” กลับทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม เดินหน้าไล่บดขยี้คู่แข่งจนเก็บมาได้ถึง 81 แต้ม คว้าแชมป์ลีคสูงสุดของประเทศได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นฤดูกาลนี้ลูกทีมของ คล็อปป์ สามารถคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ ได้ เมื่อสามารถคว้าถ้วย เดเอเบ โพคาล มาครองได้อีกรายการ ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาโชว์ฟอร์มสุดเหี้ยมถล่มเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ขาดลอย 5-2

ฤดูกาลต่อมา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เดินทางเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศของรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ครั้งนี้ คล็อปป์ ต้องพบกับความิดหวังครั้งใหญ่ ไม่สามารถพาทีมขึ้นเป็นจ้าวยุโรปได้ ทีมของเขาแพ้ให้กับคู่รักคู่แค้นจากบ้านเดียวกัน บาเยิร์น มิวนิค ไปแบบน่าเจ็บใจ 2-1

ฤดูกาล 2013/14 ดอร์ทมุนด์ ก็ยังอยู่ในมาตรฐานที่ค่อนข้างดี แต่ได้รับบทพระรองอีกครั้ง เป็นได้เพียงรองแชมป์ บุนเดสลีกา จนมาถึงฤดูกาล 2014/15 ก็เกิดเหตุการณ์สุดช็อค เมื่อทีม เสือเหลือง อยู่ดีๆก็ฟอร์มตกลงไป ชนิดที่หล่นไปอยู่โซนท้ายตารางในครึ่งฤดูกาลแรกสุ่มเสี่ยงที่จะตกชั้น แต่ในครึ่งฤดูกาลหลังพวกเขาเริ่มฟื้นขึ้นมาเรื่อยๆจนประคองตัวจบเป็นอันดับที่ 7 ของตารางคะแนน ซึ่งส่วนหนึ่งที่ฟอร์มหายไปก็มาจากปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของตัวผู้เล่น อย่างไรก็ตาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ขอแสดงควมรับผิดชอบต่อผลงานขอแยกทางกับทีมหลังจบฤดูกาล พร้อมขอพักงานคุมทีมเพื่อพักผ่อนเป็นเวลา 1 ปี

เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล

ตัดภาพมาที่ ลิเอร์พูล ในเวลานั้น เป็นยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เกือบจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้แต่ไปสะดุดทำแต้มหล่นในช่วงท้าย ซึ่งหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมกลับมาได้อีกเลย อีกทั้งยังเสียผู้เล่นตัวหลักไปหลายราย บอร์ดบริหารจึงปลด บีร็อด ออกจากตำแหน่ง โดยเป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่ คล็อปป์ ได้ไปพักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว และพร้อมงานคุมทีมอีกครั้ง ทำให้เมื่อ ลิเวอร์พูล ติดต่อเข้าไปก็สามารถตกลงกับกุนซือชาวเยอรมันได้ จึงตกลงเซนสัญญาฉบับแรกกันในวันที่ 8 ตุลาคม 2015

สำหรับฤดูกาลแรกของ JK กับทีม หงส์แดง ผลงานออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จบเป็นอันดับที่ 8 ของลีค แต่ที่เห็ได้อย่างชัดเจนเลยคือรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไป กุนซือเฮฟวี่เมทัล พยายามใส่เกมเพรสซิ่ง และความดุดันเข้าไปในทีม เพียงแต่ผู้เล่นยังคุณภาพไม่เพียงพอ

ต่อมาในฤดูกาล 2016/17 ลิเวอร์พูล ก็ค่อยๆปรับปรุงทัพให้ดีขึ้น จนสามารถจบเป็นอันดับ 4 ของตารางคะแนนได้สำเร็จ กลับเข้าไปเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง

ฤดูกาล 2017/18 คล็อปป์ ยังคงทำโปรเจกต์ปรับทัพอย่างต่อเนื่อง ในช่วงตลาดซมเมอร์คว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เข้ามาสู่ทีม และนำเงินที่ขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ จอมทัพของทีม ไปซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ จากเซาแมป์ตัน มาในราคาที่แพงที่สุดในโลก ณ เวลานั้น เพือมาช่วยเสริมแกร่งให้แนวรับของทีม โดยจากตัวผู้เลนที่คุณภาพดีขึ้น บวกกับแผนการเล่นที่เข้าที่เข้าทาง ทำให้ ลิเวอร์พูล ทะลเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่า แชมเปยนส์ ลีก แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ คล็อปป์ต้องอกหัดจากรายการนี้ เมื่อทีมแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ทีมสุดแกร่งจากสเปน 3-1

ฤดูกาล 2018/19 ถือเปนการเล่นต้นยุคสมัยของ ลิเวอร์พูล เมื่อทาง คล็อปป์ เห็นว่าทีมยังขาดแค่เพียงเรื่องการปรับปรุงแนวรับ จึงลงทุนใช้เงินที่ได้ไปคว้าตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูเนื้อหอมของ โรม่า เข้ามาช่วยเพิ่มความอุ่นใจหน้าปากประตู และ ฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับชาวบราซิล เข้ามาช่วยอุดรูรั่วทีแดนกลาง ซึ่งในเวทีพรีเมียร์ ลีก ทัพหงส์แดงเกมาได้ถึง 97 คะแนน หากเป็นฤดูกาลอื่นๆที่ผ่านมาคงคว้าแชมป์ไปครองได้แบบสบายๆ แต่ควมจริงกลับเป็นได้แค่รองแชมป์ เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เดินหน้ากวาดมาได้ 98 คะแนน เบียดคว้าแชมป์ลีกไปครองได้แบบนาเสียดาย

ทว่า คล็อป และพลพรรค หงส์แดง ก็ไม่ได้จบฤดูกาลแบบไร้ถ้วย เมื่อ ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ฟอร์มเก่งได้ในเวลาทียุโรป ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรผิดพลาด เอาชนะเพื่อนร่วมลีก ท็อตแน่มฮอต สเปอร์ 2-0 คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก สมัยที่ 6 ของสโมสรได้สำเร็จ

มาถึง ฤดูกาล 2019/20 ลิเวอร์พูล ยังคงต่อยอดฟอร์มเก่งจากปีที่ผ่านมาได้อย่างต่อเนื่อง ลูกทีมของ คล็อปป์ บรรเลงบทเพลงเฮฟวี่เมทัล ให้เพื่อนรวมลีคได้รู้ซึ้งถึงวิถีของชาวร็อค เดินหน้ากวาดชัยชนะเข้ากระเป๋า สุดท้ายก็ทำแต้มฉีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งตัวฉะกาจได้แบบขาดลอย ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ หลงจากที่ชาวเดอะ ค็อป รอคอยถ้วยรางวัลนี้มายาวนานถึง 30 ปี

นอกจากนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังพาถ้วยรางวัลมาประดับตูโชว์ของสโมสรอีก 2 รายการ คือ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ

Leave a Comment

Your email address will not be published.