ดิโอโก้ โชต้า มีชื่อเต็มๆว่า ดิโอโก้ โชต้า ไตไชรา ดา ซิลวา (Diogo José Teixeira da Silva) เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 1996 ที่เมืองปอร์โต้ ประเทศโปรตุเกส
เส้นทางลูกหนังช่วงเริ่มต้น
โชต้า เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะลำบากอะไรนัก หากเทียบกับยอดกลางหน้าหลายๆคนในอดีต เขาจึงได้รับการสนับสนุนจากพ่อ-แม่ ให้เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก และได้เข้าไปเป็นผู้เล่นในอคาเดมี่ของสโมสร กอนโดมาร์ ทีมเล็กๆในเมือง ปอร์โต้
เข้าสู่วัย 13 ปี โขต้า ก็ได้ขยับขยายย้ายไปสู่สโมสรที่ใหญ่ขึ้นกับ ปากอส เดอ เฟร์เรยร่า พัฒนาการ และฟอร์มการเล่นของกองหน้าชาวโปรตุเกส ในอคาเดมี่ เป็นไปอย่างโดดเด่น เขาจึงได้ประเดิมขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี โดยเกมแรกของของเกิดขึ้นในรายการ โปรตุกีส คัพ ในฤดูกาล 2014/15 พร้อมสร้างชื่อตั้งแต่เกมแรกด้วยการทำ 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ ส่วนผลงานใน โปรตุเกส ซูเปอร์ลีกา หรือลีกสูงสุดของฟุตบอล โปรตุเกส ดาวรุ่งรายนี้ได้ลงเล่นไป 8 เกมในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล และยิงไปได้ 2 ประตู
มาถึงฤดูกาล 2015/16 ดาวรุ่งรายนี้ก็ยิ่งได้รับการจับตามองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป เมื่อเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม ก่อนที่จะจัดการซัดไป 14 ประตู พร้อมทำอีก 10 แอสซิสต์ จากการลงสนามในทุกรายการ และมันก็เป็นผลงานที่ทำให้เด็กหนุ่มได้ออกไปค้าแข้งในลีกระดับท็อปชองโลก กับทีมดังแดนกระทิงดุ แอตเลติโก มาดริด
ครั้งแรกยากเสมอ
การออกไปค้าแข้งนอกประเทศบ้านเกิด โดยเฉพาะลีกระดับท็อปอย่างลาลีกา สเปน เป็นเรื่องที่ยากมาก ทั้งเรื่องการปรับตัวกับวัฒนธรรมใหม่ๆ สิ่งรอบตัวที่ไม่เหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นสไตล์การเล่นของทีม “ตราหมี” ดูจะไม่เข้ากับกองหน้าดาวรุ่งรายนี้อย่างแรง จากปัจจัยต่างๆทำให้ โชต้า ไม่มีโอกาสได้ลงสนามให้กับ แอตเลติโก้ มาดริด เลยแม้แต่เกมเดียว
อย่างไรก็ตามด้วยพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว และผลงานที่เคยฝากเอาไว้บนลีกสูงสุดของโปรตุเกส ปอร์โต้ สโมสรยีกษ์ใหญ่ของเมืองฝอยทอง ตัดสินใจขอยืมตัสเขามาช่วยล่าตาข่าย ซึ่งแน่นอนว่าทีมดังจากสเปนยินดีที่จะปล่อยแข้งที่ไม่ได้ใช้งานออกไปหาโอกาสลงสนาม โดยผลงานของ โชต้า กับทีม “เดอะ ดราก้อน” ออกมาดี เขายิงไป 7 ประตูจาาการลงสนาม 27 นัด ในลีก พร้อมทั้งฝากผลงาน 1 ประตูบนเวทียุโรป ยูฟ่า แแชมเปี้ยนส์ ลีก สร้างสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดของ ปอร์โต้ ที่ยิงประตูในรายการนี้อีกด้วย
เดินทางสู่เกาะอังกฤษ
หลังจากหมดสัญญายืมตัวในฤดูกาลนั้น แฟนๆของสโมสร ปอร์โต้ ที่หลงรักฟอร์มการเล่นของโชต้า ต่างต้องการให้ทีมเซ็นสัญญาเขามาร่วมทีม อย่างไรก็ตามกองหน้าชาวโปรตุเกส ตัดสินใจที่จะย้ายแบบยืมตัวตามนายใหญ่ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ อดีตโค๊ชปอร์โต้ ที่ไปรับหน้าที่คุมทัพ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน ในลีกรอง แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการตัดสินใจลดระดับการเล่นครั้งของว่าที่สตาร์คนใหม่ของโปรตุเกสคือความผิดพลาด
อย่างไรก็ตาม ดิโอโก้ โชต้า กลับสามารถปรับตัวกับความหนักหน่วงของลีกอังกฤษได้เป็นอย่างดี โดยส่วนหนึ่งก็ เพราะเข้าใจแผนการเล่นของนายใหญ่เป็นอย่างดี และทีมหมาป่าอุดมไปด้วยแข้งชาวโปรตุกีส จึงไม่แปลกที่เขาจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2017/18 พาต้นสังกัดผ่านเข้ามาเล่นบนเวที พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ ซึ่งฤดูกาลนั้นเขาช่วยทีมยิงไปถึง 17 ประตู ทางผู้บริหารของทีม วูล์ฟแฮมตัน จึงไม่รอช้าอนุมัติเงินจำนวน 14 ล้านยูโร ให้กับ แอตโลติโก มาดริด เพื่อนำตัว โชต้า มาค้าแข้งในถิ่น โมลินิวซ์ กราวด์ แบบถาวร
ร้อนแรงต่อเนื่องบนพรีเมียร์ลีก
วูล์ฟแฮมตัน ขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดของประเทศก็ยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นเอาไว้ได้ ลูกทีมของ นูโน่ ไม่แม้แต่จะต้องดิ้นรนหนีตกชั้น เท่านั้นยังไม่พอ ทัพหมาป่ายังจบอันดับที่ 7 ของตารางคะแนนถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน พร้อมได้เข้าไปเล่นรายการระดับยุโรปอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ก่อนที่จะทะลุเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ในฤดูกาล 2019/20 ตัดมาที่ผลงานของ โชต้า ตลอด 2 ฤดูกาลบนลีกสูงสุดกับ วูล์ฟ ยิงไปทั้งหมด 16 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ ส่วนผลงานในยุโรป ทำไปถึง 9 ประตูจาก 14 เกม
อาวุธใหม่ในแนวรุกของ ลิเวอร์พูล
ในฤดูกาลต่อมา(2020/21) ลิเวอร์พูล ที่กำลังมองหาผู้เล่นตำแหน่งศูนย์หน้าเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ 3 ผสาน ซาดิโอ มาเน่. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และโม ซาลาห์ ที่ช่วยทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ 4 รายการเมเจอร์ ตัดสินใจทุ่มเงินจำนวน 45 ล้านปอนด์ กระชากตัว โชต้า เข้ามาร่วมทัพแบบเซอร์ไพรส์
ด้วยความลงตัวของ 3 แนวรุก หงส์แดง เป็นเรื่องยากมากที่จะหาคนมาสอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวหลักแทนได้ ทำให้ในช่วงแรก กองหน้าชาวโปรตุกีส ไม่ค่อยมีโอกาสลงสนามเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ลงสนามกลับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับแนวทางการเล่นของทีมได้เป็นอย่างดี จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในขุมกำลังคนสำคัญของทีมอยู่ในเวลานี้ จนทำให้เสียงของแฟนบอลแตกออกเป็นสองฝ่ายว่าระหว่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กับ ดิโอโก้ โชต้า ใครควรจะเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ในยุคนี้กันแน่ ซึ่งเรื่องนี้เราตัดสินใจกันเองไม่ได้ คงต้องให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ รับหน้าที่สุดปวดหัวนี้ไปแทนก็แล้วกันครับ
