"มหาเทพ" ดิว็อค โอริกี้

มหาบุรุษบุตรแห่งแอนฟิลด์ ที่มาฉายา “มหาเทพ” ของ ดิว็อค โอริกี้

ข้อมมูลส่วนตัว

ดิว็อค โอริกี้ (Divock Okoth Origi) เกิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 1995 ที่เมือง ออสเทนต์ ประเทศเบลเยี่ยม อย่างไรก็ตามในตัวเขามีสายเลือดของชาวแอฟริกาเต็มร้อย เนื่องจากพ่อ-แม่ เป็นชาวเคนย่า โดย ไมค์ โอโกธท์ โอริกี้(พ่อ) เป็นนะเตะของทีมชาติเคนย่า และมาค้าแข้งอยู่กับสโมสรบนลีกสูงสุดของประเทศเบลเยี่ยม จึงได้พาครอบครัวย้ายถิ่นฐานมาอยู่ด้วยกัน

เส้นทางในวงการลูกหนัง

จากพื้นฐานของครอบครัวทำให้ โอริกี้ ได้รับการฝึกฝนทักษะด้านฟุตบอลตั้งแต่จำความได้ โดยเมื่ออายุได้ 5 ขวบ เข้าไปอยู่กับทีม KDFC De Zuwaluw Wiemesmeer และด้วยสายเลือดของคนผิวสีทำให้เขามีทั้งความเร็ว, ความแข็งแกร่ง บวกกับพรสวรรค์ทางด้านฟุตบอลที่ติดมาจากพ่อ จึงไม่แปลกที่ ณ เวลานั้นเขามีฝีเท้าที่โดดเด่นกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน

จนกระทั่ง เกงค์ สโมสรดังของเบลเยี่ยม มองเห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของเด็กน้อยรายนี้ จึงดึงเข้าสู่อคาเดมี่ของสโมสรตั้งแต่ 9 ขวบ เกือบตลอดช่วงที่ฝึกฝนอยู่กับ เกงค์ เขาได้ลงเล่นในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรับ อย่างไรก็ตามลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เมื่ออายุเข้าสู่วัย 14 ปี โอริกี้ ถูกผลักดันให้ลองขึ้นไปเล่นตำแหน่งกองหน้า เหมือนผู้เป็นพ่อ ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม

หลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียวผลงานของเขาก็ไปเข้าตา ลีลล์ ทีมจากฝรั่งเศส ดาวยิงชาวเบลเยี่ยมจึงได้ออกสู่ประเทศบ้านเกิดไปค้าแข้งอยู่ที่เมืองน้ำหอม ตั้งแต่วัย 15 ปี ฟอร์มของ โอริกี้ ที่เล่นให้กับทีมชุดเด็กของสโมสร ยังคงโดดเด่นจนสามารถลงเล่นแบบแบกอายุได้แบบสบายๆ จนช่วงนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมของโลกลูกหนังถึงขนาดทาบทามให้ย้ายเข้าไปเป็นเด็กฝึกของสโมสร อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการปฎิเสธ ยูไนเต็ด และอยู่กับสโมสร ลีลล์ ต่อไป ไม่ใช่แค่กับสโมสรในนามทีมชาติเขาก็เล่นแบบแบกอายุมาตลอดเช่นกัน พร้อมสามารถถล่มตาข่ายได้ให้กับทีมได้อย่างมากมาย ณ เวลานั้นเขาจึงโดนยกให้เป็นอนาคตดาวดวงใหม่ของทีมชาติเบลเยี่ยม และสโมสร ลีลล์

แน่นอนว่า โอริกี้ ไม่ได้โดนจับตามองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมเดียว หลายๆทีมทั่วยุโรปต่างเฝ้าดูพัฒนาการของดาวยิงรายนี้ โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกปี 2014 ที่เขาที่อายุเพียง 19 ปี ในเวลานั้น โดนเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ไปด้วย โดยเขาช่วยทีมยิงประตูชัยใส่ทีมชาติรัสเซียในรอบแบ่งกลุ่ม ส่งผลให้กลายเป็นผู้เล่นทีมชาติเบลเยี่ยมอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

Divock Origi scores late winner for Belgium vs Russia

หลังจบศึกฟุตบอลโลก ลิเวอร์พูล ก็ตัดสินใจทุ่มเงิน 10 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวศูนย์หน้าอนาคตไกลเข้าสู่สโมสร พร้อมปล่อยให้ ลีลล์ ยืมตัวไปใช่งานก่อนในฤดูกาล 2014/15 ซึ่งผลงานบนลีกเอิงฤดูกาลนั้น โอริกี้ ก็ทำให้ เดอะ ค็อป สบายใจ โดนเลือกให้ติดเป็นหนึ่งในผู้เล่นยอดแย่ของฤดูกาล

เข้าสู่รั้ว “แอนฟิลด์”

ดิว็อค โดนซื้อตัวมาในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แต่ในช่วงเวลาที่โดนปล่อยยืมตัวสังกัดใหม่ของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือมาเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์

ด้วยอายุที่ยังไม่เยอะ บวกกับไม่ใช่สไตล์กองหน้าที่ คล็อปป์ ชื่นชอบในแผนการเล่น ส่งผลให้ ดาวยิงชาวเบลเยี่ยม ไม่ได้เป็นตัวจริงในลีกมากนัก อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีโอกาสลงเล่นบ่อยครั้งในฐานะตัวสำรอง และบอลถ้วย

จนกระทั้งมาถึงฤดูกาล 2017/18 พื้นที่ของ โอริกี้ แทบไม่เหลือ ด้วยการมาของ ฟีร์มิโน่, ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ หรือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่(ก่อนย้ายทีม) เหตุนี้เขาจึงโดนส่งไปให้ โวล์ฟส์บวร์ก ทีมจากบุนเดสลีกา ยืมตัวไปใช้งาน และผลงานบนลีกเยอรมัน ก็ทำให้ชาวเดอะ ค็อป ชื่นใจอีกครั้ง เขาซัดไป 6 ประตูจาก 34 เกม ด้วยเหตุนี้ทีมหมาป่าจึงตัดสินใจไม่ยากที่จะส่ง มหาเทพ กลับสู่อ้อมกอดต้นสังกัด

“มหาเทพ” ถือกำเนิด

หลังจากโดนส่งตัวกลับ โอริกี้ โดนมองว่าหมดอนาคตกับ ลิเวอร์พูล แน่นอนแล้ว เขาแทบไม่มีชื่อบนม้านั่งสำรองของทีมตลอดช่วงครึ่งฤดูกาลแรก แต่แล้วฤดูกาล 2018/19 ก็ได้รับการจดจำว่าเป็นต้นกำเนิดอภินิหารครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม หงส์แดง มีโปรแกรมลงทำศึก “เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้” กับอริร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน เกมเดินทางมาถึงช่วงท้ายยังไม่มีทีมไหนทำประตูได้เสมอกันที่ 0-0 ลิเวอร์พูล ที่ในเวลานั้นเล่นเพื่อต้องการ 3 คะแนนเท่านั้น ส่งตัวรุกมาทุกหนทาง จนโควต้าสุดท้าย คล็อปป์ ตัดสินใจ ดิว็อค โอริกี้ ลงมาในนาทีที่ 84 เกมดำเนินมาถึงช่วงนาทีที่ 90+6 หงส์แดง ได้จังหวะเล่นฟรีคิดจากแดนตัวเองด้วยเวลาที่ไม่เหลือจึงตันสินใจโยนยาวเข้าไป บอลโดนสกัดเด้งมาเข้าทาง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค บริเวณหน้ากรอบเขตโทษ กองหลังร่างยักษ์ ตัดสินใจยิงแต่ดันแป้กชนิดเจ้าตัวต้องหันหน้าหนี แต่ด้วยอะไรก็ไม่ทราบได้บอลดันไปตกบนคานเด้งกลับมาเข้าหัว โอริกี้ โขกเข้าไปเป็นประตูชัยพา ลิเวอร์พูล เก็บ 3 คะแนนเต็มได้อย่างเหลือเชื่อ

หลังจากเกมที่ยิงประตูชัยให้กับทีมได้ กราฟชีวิตของ ดิว็อค ก็พุ่งขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ โดยเฉพาะความเป็นซุปเปอร์ซับ ในฤดูกาลนั้น หงส์แดง เบียดไล่ล่าแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งอภินิการของ โอริกี้ ก็แสดงออกมาอีกครั้งในเกมนัดรองสุดท้ายที่บุกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล เกมนั้น ลิเวอร์พูล ที่ต้องการ 3 คะแนนเพื่อต่อลมหายใจลุ้นแชมป์ ต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อสกอร์ไม่สามารถหนีห่างคู่แข่งได้เสมอกันอยู่ที่ 2-2 คล็อป จึงได้จัดไพ่ตายใบสุดท้ายส่งกองหน้าชาวเบลเยี่ยมลงมา แล้วในช่วงท้ายเกม โอริกี้ ก็โขกประตูชัยพาทีมชนะได้อีกครั้งด้วยสกอร์ 3-2

เกมต่อมา ลิเวอร์พูล มีคิวลงเล่นเลก 2 รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ กับ บาร์เซโลน่า โดยผลจากเกมเลกแรกย่ำแย่สุดๆ บุกไปแพ้แบบขาดลอย 3-0 พวกเขาต้องกลับมาเอาชนะ 4-0 เป็นอย่างน้อยหากหวังจะได้เข้ารอบ และสถานการณ์เวลานั้นก็ย่ำแย่ไปอีกเมื่อ ลิเวอร์พูล ขาดแนวรุกคนสำคัญถึง 2 คน ทั้ง ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน่ ส่งผลให้ท่านมหาเทพ โดนส่งลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง แล้วอย่างที่รู้กัน โอริกี้ จัดการเหมาคนเดียว 2 ประตู พาทีมเปิดบ้านถล่มเอาชนะได้ด้วยสกอร์ที่ต้องการ 2-0 ผ่านเข้าไปชิงกับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ก่อนที่มหาบุรุษแห่งแอนฟิลด์จะจัดการซัดประตูสุดเฉียบปิดกล่องส่ง ลิเวอร์พูล เถลิงบัลลังก์แชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 6 ของสโมสร

จากผลงานในฤดูกาลเดียวทำให้ โอริกี้ เริ่มโดนขนามนามว่า “มหาเทพ” จากชาวเดอะ ค็อป แต่เท่านั้นยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดาวยิงรายนี้มักจะสร้างคอนเทนต์แบบคาดไม่ถึง เช่น เมื่อออกมาวอร์มข้างสนาม หรือมายืนเตรียมเปลี่ยนตัว ทีมก็มักกจะทำประตูได้, ยิงบอลแป้กๆก็กลายเป็นแอสซิสต์แบบงงๆ หรือมีเกมหนึ่งที่คู่แข่งเข้าเสียบสกัดแต่คนเสียบต้องเป็นฝ่ายที่บาดเจ็บโดนหามออกนอกสนามเอง ยอกจากนี้ลีลาการสังหารประตูของเขาก็มักมาแบบที่ไม่มีใครคาดคิด เป็นต้น

ยิงประตูชัยใส่ วูล์ฟ นาทีสุดท้าย

ยิง 2 ประตูใส่ อาร์เซน่อล พาทีมผ่านเข้ารอบ ลีก คัพ

SCORPION KICK

Leave a Comment

Your email address will not be published.