เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการฟุตบอล เมื่อกลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย ที่นำโดยเจ้าชาย โมฮัดเหม็ด บิน ซัลมาน เข้ามาเทคโอเวอร์ สโมสร นิวคาสเซิ่ล ได้สำเร็จ ส่งผลให้เจ้าสาลิกาดง เปลี่ยนสถานะจากทีมจอมขี้เหนียว กลายมาเป็นสโมสรฟุตบอลที่รวยที่สุดในโลก เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ทำให้นึกถึงเรื่องในอดีตที่ ลิเวอร์พูล ของเราเคยมีปัญหาเรื่องเจ้าของทีมจนเกือบจะล้มละลาย ก่อนที่จะได้กลุ่มทุน FSG เข้ามาเทคโอเวอร์ วันนี้เราจะมาย้อนลำลึกไปถึงช่วงนั้นกันครับ
FSG คือ
FSG เป็นชื่อย่อของ เฟนเวย์ สปอร์ตกรุ๊ป กลุ่มทุนสัญชาติอเมริกา ที่ลงทุนธุรกิจทางด้านกีฬาโดยเฉพาะ ภายใต้การนำของ จอห์น วิลเลี่ยน เฮนรี่
เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ลิเวอร์พูล ได้อย่างไร?
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปไกลหน่อย เริ่มจากในปี 2007 “สองปลิงมะกัน” ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ บิลเล็ตต์ เข้ามาซื้อหุ้นจนได้ขึ้นมาเป็นเจ้าของสโมสร ก่อนที่ทั้งคู่จะไปกู้เงินจาก รอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนต์(RBS) จำนวน 350 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตามด้วยการบริหารที่ผิดพลาดทำให้พวกเขาไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ตามที่กำหนด และปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นมา เมื่อวันที่พวกเขาขอผ่อนผันขำระหนี้ไปช่วงเดือน ตุลาคม 2010 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย “สองปลิงมะกัน” ไม่มีเงินใช้หนี้ จึงต้องหาผู้ที่สนใจเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ลิเวอร์พูล ให้ได้ ก่อนที่จะต้องจ่ายเงินให้กับ RBS ภายในวันที่ 15 ตุลาคม ไม่เช่นนั้นสโมสรจะโดนตัด 9 แต้ม และโดนเข้าควบคุมกิจการ ซึ่งสุ่มเสียงต่อการล้มละลาย
โดย ณ เวลานั้น มีผู้ที่สนใจจะเข้ามาเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูล 2 ราย คือ ปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ และ จอห์น เฮนรี่ นักธุรกิจชาวอเมริกา และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่รู้กันว่าใครคือผู้ที่เทคโอเวอร์ หงส์แดง ได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ FSG
จากผลงานของ ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ บิลเล็ตต์ ที่ทำเอาไว้ ส่งผลให้บรรดานักธุรกิจสัญชาติอเมริกา โดนมองในแง่ร้ายว่าจะเข้ามาทำทีมเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น ซึ่ง FSG ก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ทว่าพวกเขาเข้ามาพร้อมกับคำว่า “มืออาชีพ”
ช่วงแรกที่เข้ามาก เฮนรี่ จัดการจ่ายหนี้ให้กับสโมสร เพื่อปรับปรุงตัวเลขหน้าบัญชีให้กลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง และนำโมเดล “มันนี่บอล” เข้ามาบริหารสโมสร โดยหลักการดังกล่าวเคยทำให้ บอสตัน เร้ด ซ็อกซ์ อีกทีมกีฬาที่บริหารโดย FSG ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์มาแล้ว
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีมบริหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ส่งผลให้ หงส์แดง บินสูงอย่างในทุกวันนี้ คือการดึง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ เข้ามารับหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา
กุนซือที่ทาง FSG เลือกเข้ามาในช่วงแรกๆภายใต้การบริหารคือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ไม่ได้มีโปรไฟล์หรูอะไรนัก ถือเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรง ณ เวลานั้น โดยในยุคของ ร็อดเจอร์ส ก็ถือว่าไม่แย่เท่าไหร่นัก มีปีที่เกือบจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีคด้วย แต่หลังจากที่ต้องอกหักแบบน่าเจ็บใจ ทีมก็ไม่สามารถกลับมาโชว์ฟอร์มเก่งได้อีกเลย และต้องยอมรับว่าในยุคนั้นนโยบายการซื้อตัวผู้เล่นค่อนข้างผิดพลาดบ่อยครั้งจากความเหนียวเงินเพียงไม่กี่ล้านปอนด์
มาถึงในปี 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอดโค๊ชชาวเยอรมัน ก็โดนดึงตัวเข้ามารับหน้าที่คุมทัพหงส์แดง ซึ่งทิศทางของทีมดูดีขึ้นเรื่อง FSG จึงกล้าที่จะเอาเงินจากค่าตัวของ คูติญโญ่ กับ งบประมาณซื้อทั้งหมดให้ทีมหาผู้เล่นที่ต้องการจริงมาร่วมทัพ บวกกับความเก่งด้านตลาดซื้อขายของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ที่สามารถดึงตัว โม ซาลาห์, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์, อลิสซอน เบคเกอร์ มาสู่สโมสรได้
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ ก็เดินหน้าไขว่คว้าความสำเร็จเข้ามาสู่สโมสรได้มากมายทั้ง พรีเมียร์ลีค, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟ่า ซุเปอร์คัพ และ ฟีฟ่า คลับเวิลด์คัพ
นอกจากเรื่องในผลงานในสนามแล้ว FSG ยังปรับปรุงหลายอย่างภายในสโมสรให้ดีขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของทีมในระยะยาว เช่น ย้ายสนามฝึกซ้อมแห่งใหม่จาก เมลวูด ที่ไม่ค่อยทันสมัย มาเป็น แอ็กซ่า เทรนนิง เซนเตอร์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนขยายสนามเหย้า แอนฟิลด์ ให้ทะลุไปถึงหลัก 61,000 ที่นั่ง ซึ่งจะทำให้ ลิเวอร์พูล มีสนามที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 บนเวทีพรีเมียร์ลีก
จากเวลาที่ผ่านมากว่า 11 ปี ในยุคการบริหารของกลุ่มทุน เฟนเวย์ สปอร์ตกรุ๊ป ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ที่อาการโคม่าเสี่ยงที่จะโดนยึดกิจการ กลายมาเป็นทีมระดับแนวหน้าของยุโรปอย่างทุกวันนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่เห็นว่าจะต้องไปหาข้อตำหนิกลุ่มทุนจากอเมริกาแต่อย่างใด