วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน เวลา 18:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะจับสลากประกบคู่แข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย จากผลงานของ ลิเวอร์พูล ที่จับเป็นรองแชมป์ของกลุ่มเอ ทำให้มีโอกาสไปเจอกับแชมป์กลุ่มอื่นๆ และจากเงื่อนไขที่ตัดทีมจากประเทศเดียวกัน และทีมจากกลุ่มเดียวกันออก ส่งผลให้มี 4 ทีมที่สามารถเจอกันในรอบต่อไปได้ ดังนี้
ปอร์โต้
ทีมดังจากโปรตุเกส ที่พลิกล็อคแซงคว้าแชมป์กลุ่ม B มาได้ ทั้งๆที่พวกเขาเริ่มต้นสองเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มด้วยคามพ่ายแพ้ทั้งหมด โดยปอร์โต้ชุดนี้เป็นทีมที่เล่นบอลสั้นแม่นยำ ครองบิลได้เหนียวแน่น เป็นทีมที่มีเกมรุกอันตราย ผู้เล่นที่น่าจับตามองของทีมคือ เมห์ดี ทาเรมี กองหน้าตัวเก๋าชาวอิหร่านที่ซัดไปแล้ว 5 ประตูในรายการแชมเปี้ยนส์ลีก ด้านแนวรับคนที่โดดเด่นเป็น ดิโอโก้ คอสต้า ผู้รักษาประตูหนุ่มที่โชว์ฟอร์มเซฟได้เข้าตาเหลือเกิน จนมีข่าวว่าเขาจะกำลังได้รับการจับตามองจากทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นว่าไม่ง่ายสำหรับคู่แข่งแน่นอนหากหวังจะมาพังประตูใส่
อย่างไรก็ตาม ปอร์โต้ ถือเป็นทีมที่ชั้นวรรณะต่ำสุด หากเทียบกับทีมแชมป์กลุ่มทีมอื่นๆ และยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูล มักจะทำผลงานได้เหนือกว่ามากตอนที่เจอกันระยะหลัง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่แฟนหงส์แดงเอาใจช่วยให้ทีมรักจับฉลากมาเจอกับ ปอร์โต้ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
เบนฟิก้า
อีกทีมที่มาจากลีกโปรตุเกสที่ทำแสบแซง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ขึ้นมาเป็นแชมป์ของกลุ่ม เอช ได้ใเนเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มด้วยกฎยิงประตูในฐานะทีมเยือนได้มากกว่า หลังคะแนน และเฮดทูเฮด ของทั้งสองทีมเท่ากันทั้งหมด โดยผลงานตลอด 6 เกมในรอบเก็บคะแนนพวกเขาไม่แพ้ใครเลย(ชนะ 4 เสมอ 2)เก็บมาได้ 14 คะแนนทั้งๆที่ในกลุ่มมีทีมชื่อดังอย่าง เปแอสเช และ ยูเวนตุส
เหยี่ยวลิสบอน เป็นอีกทีมที่มีเกมรุกดุดัน ผู้เล่นสามารถทำประตูได้จากทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะแดนกลางที่มี 3 ผสานตัวรุก เดาวิด เนเรส, ราฟา และ เจา มาริโอ ที่มีส่วนช่วยกันทำไปถึง 9 ประตู และพวกเขายังเป็นทีมที่แข็งแกร่งยามได้ลงเล่นในถิ่น เอสตาดิโอ ดา รุซ ซึ่งการแข่งขันทัวร์นาเมนต์แบบเหย้า-เยือน จึงไม่ง่ายที่จะผ่านด่านพวกเขาไป
หากว่ากันด้วยคุณภาพของทีม เบนฟิก้า ยังห่างชั้นกับทีมแชมป์ของกลุ่มอื่นๆที่มักจะเป็นทีมยักษฺใหญ่จากลีกท็อป 5 ของยุโรปได้ ดังนั้น เบนฟิก้า จึงเป็นอีกทีมที่สาวกลิเวอร์พูลอยากเจอหน้าเหลือเกินในรอบต่อไป
บาเยิร์น มิวนิค
เสือร้ายแห่งบุนเดสลีกา เยอรัมน เป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลยุโรปมาอย่างยาวนาน ผลงานในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้ยอดเยี่ยมสุดๆ เก็บมาได้ 16 คะแนนเต็ม คว้าแชมป์กลุ่มซีได้แบบไม่ยาก ทั้งๆที่กลุ่มซีได้ชื่อว่าเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ” มีคู่แข่งอย่าง บาร์เซโลน่า และอินเตอร์ มิลาน ร่วมอยู่ด้วย
ฤดูกาลนี้ทัพเสือใต้เสีย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวยิงตัวเก่งไปจากทีม แต่การได้ ซาดิโอ มาเน่ เข้่มาเสริมกำลังแทน บวกกับผู้เล่นคนอื่นๆที่มีอยู่แล้ว ทำให้พวกเขายังคงเป็ยทีมที่คุณภาพคับแก้วระดับเต็งลุ้นแชมป์ สำหรับสไตล์การเล่นยังคงมีเกมรุกที่ดุดันอันตรายเข่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ นายใหญ๋หนุ่มไฟแรงที่ได้เวลาคุมทัพเข้าปีที่สอง เข้ามาปรับจูนขันเกมรับให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น รอบแบ่งกลุมพวกเขาเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้นจาก 6 เกม จากฟอร์มการเล่นที่กำลังร้อนแรง และระบบการเล่นที่ลงตัว เสือใต้ เป็นคู่แข่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
เรอัล มาดริด
โครตทีมจากสเปนจ้าวแห่งยุโรปทีมล่าสุด ยังคงทำผลงานได้อย่างสุดยอดยามที่ลงสนามในรายการยุโรป แม้ว่าฤดูกาลนี้ฟอร์มการเล่นโดยร่วมจะดรอปลงไปบ้าง แต่ยังเอาจัวรอดคว้าแชมป์กลุ่มเอฟมาได้อย่างหวุดหวิด เก็บมาได้ 13 คะแนน ซึ่งเป็นไปตามคาดเนื่องจากเพื่อนร่วมกลุ่มล้วนชื่อชั้นเป็นรองค่อนข้างมาก
ราชันชุดขาว ยังคงอยู่ภายใต้การนำทัพของกุนซือ คาร์โล อันเชลอตติ ฤดูกาลนี้ฟอร์มการเล่นดูค่อนข้างดรอปลงไป เนื่องจากแดนกลางมีการเปลี่ยนสายเลือดใหม่ขึ้นมา หลังเสีย คาเซมิโร่ กองกลางตัวรับคนสำคัญไปให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนจะทุ่มเงินมหาศาลซื้อ โอเรเลียง ชูอาเมนี ดาวรุ่งอนาคตไกลเข้ามาเสริมทัพ นอกจากนี้สองรุ่นพี่อย่าง โทนี่ โครส และลูก้า โมดริช ที่อายุเจ้าสู่ช่วงปลายอาชีะเริ่มมีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บเล่นงาน อย่างไรก็ตาม มาดริด ยังคงเป็นทีมที่อันตรายเสมอ โดยเฉพาะในเวทียุโรปที่มักจะมีพลังแฝงที่มองไม่เห็น
ต้องยอมรับว่า เรอัล มาดริด คือทีมที่ไม่อยาดจับเจอที่สุดใน 4 ทีม นอกจากความเก่งของพวกเขาแล้ว สถิติการเจอกันในช่วงหลัง ลิเวอร์พูล มักทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย หากยังจำกันได้ในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เข้าไปถึงรองชิงชนะเลิศ 3 ครั้ง มี 2 ครั้งที่ผิดหวังพ่ายแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ทีมนี้นั้นเอง