15 เมษายน 1989 การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดยกุนซือเคนนี่ ดัลกลิช กำลังลุ้นดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาลนั้น กับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่คุมทัพโดยไบรอัน คลัฟ ณ สนามฮิลส์โบโร่ รังเหย้าของทีมเชฟฟิลด์ เว้นสเดย์
เริ่มเกมไปได้เพียงแค่ 6 นาที ผู้ตัดสินก็ต้องเป่าหยุดเกมการแข่งขันทันที เนื่องจากปัญหาที่แฟนบอลเข้ามาในสนามมากเกินไป เกมดังกล่าวมีแฟนบอลเข้าไปชมในสนามเต็มความจุตั้งแต่เริ่มเกม แต่แฟนบอลที่ยังไม่ได้เข้าสนามก็ยังพยายามจะดันเข้ามาในสนามเพื่อชมเกม โดยที่ขณะนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียวเข้ามาช่วยจัดการ
เมื่อไม่มีคนจัดการสถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย แฟนบอลต่างพากันหนีตาย มีแฟนบอลที่หนีไม่ทันมีทั้งโดนอัดติดรั้วสนาม บางส่วนโดนเหยียบ เหตุการณ์นี้ทำให้ทีผู้เสียชีวิตถึง 96 ศพ
หลังจากเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมืองบางคน บอกว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ “เดอะ ซัน” ที่พลาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า “เป็นความผิดของแฟนลิเวอร์พูล, พวกเขาขโมยของจากเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ, พวกเขาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ, พยายามถอดเสื้อศพหญิงสาวที่โดนเหยียบ และมันคือความจริง” แน่นอนว่าจากการพาดหัวข่าว ชาวเมืองลิเวอร์พูล ก็แบนหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ทันที
เหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโร่ ทำให้วงการลูกหนังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยถอดรั้วที่กั้นแฟนบอลในสนามออกไป รวมถึงยกเลิกวัฒนธรรมการยืนเชียร์ โดยให้ปรับเปลี่ยนเป็นการนั่งเก้าอี้แทน
เวลาผ่านมา 27 ปี แฟนบอล ลิเวอร์พูล ถูกตัดสินว่าพ้นมลทินวาใสสะอาด จากการลงมติของคณะลูกขุน ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 ยืนยันว่า “แฟนบอลหงส์แดงที่เสียชีวิต 96 รายนั้น ไม่มีสาเหตุและความเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่แต่อย่างใด และเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต่างละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ”
และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้สโมสร ลิเวอร์พูล สั่งแบนหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ทุกช่องทางจนถึงทุกวันนี้…